วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
โครงการรถไฟฟ้า ใน กทม.

กทม.ผุดโมโนเรลเชื่อมรถไฟฟ้าใตดิน-บีทีเอส นำร่อง2สาย พระราม1-พระราม4และพญาไท-ดินแดง
"กทม."ผุดโมโนเรล ขนคนป้อนรถไฟฟ้าใต้ดิน-บีทีเอส แก้ปัญหาจราจร นำร่อง 2 เส้นทาง พระรามที่ 1-พระรามที่ 4 และพญาไท-กทม.2 ใช้งบฯ 1 หมื่นล้าน/เส้นทาง เล็งระดมทุนผ่าน 3 ช่องทางหลัก ทั้งจากไทยเข้มแข็ง 3-ออกพันธบัตร และงบฯของกทม.
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ศึกษาดูงานระบบขนส่งมวลชนระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) ที่ประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งประสบความสำเร็จในการนำระบบดังกล่าวมาใช้แก้ปัญหาการจราจรเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นระบบที่สามารถนำผู้โดยสารเข้าสู่เขตเมืองได้สะดวกและรวดเร็ว ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 2 แบบ คือ ล้อยางและล้อเหล็ก จุดเด่นคือเป็นระบบขนส่งมวลชนขนาดเล็ก ใช้ระยะเวลาก่อสร้างรวดเร็วประมาณ 30 เดือน ใช้งบประมาณก่อสร้าง 900-2,000 ล้านบาท/กิโลเมตร สามารถวิ่งได้ทั้งทางวิ่งพื้นเรียบ หรือทางยกระดับแบบใช้เสาตอม่อและคาน กทม.จะศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการโมโนเรล จากนั้นจะเร่งผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ประเทศมาเลเซียมีรถไฟฟ้า KL Monorail ของบริษัท Scomi เปิดให้บริการมานานกว่า 6 ปี ตัวรถมีดีไซน์สวยงามสะดุดตา เส้นทางการเดินรถหลัก ๆ จะผ่านย่านชุมชนผ่าใจกลางเมืองหลวงกรุงกัวลาลัมเปอร์ระยะทาง 8.6 ก.ม. 11 สถานีบริการ เชื่อมต่อรถไฟฟ้าระบบเฮฟวี่เรล ตัวรถ 1 ขบวนมี 2 ตู้โดยสาร ความเร็วเฉลี่ย 30-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขนส่งผู้โดยสารได้ 3,000-5,000 คน/ชั่วโมง อัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 12 บาท ตลอดสายคิด 25 บาท ระยะห่างต่อขบวนช่วงเวลาเร่งด่วน 3-4 นาที ปกติ 10 นาที โครงสร้างออกแบบให้รองรับการขยายตู้โดยสารได้สูงสุด 6 ตู้ ส่วนสิงคโปร์มีโครงข่ายรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ มีระบบโมโนเรลเป็นระบบเสริม ขนส่งผู้โดยสารเข้าสู่ตัวเมืองชั้นในหรือจากระบบหลักเข้าสู่โซนที่อยู่อาศัยแต่ละพื้นที่ เช่น สาย LRT Bukit Panjang ดำเนินการโดยบริษัท SMRT เปิดให้บริการมานานกว่า 11 ปี ระยะทาง 7.8 กิโลเมตร 14 สถานี ขนส่งผู้โดยสาร 4,000 คน/ชั่วโมง 1 ขบวนมี 1-2 ตู้โดยสาร และล่าสุดสาย Sentosa Express เพิ่งเปิดให้บริการได้ 2 ปี ข้ามจากเกาะสิงคโปร์ไปยังเกาะ Sentosa ใช้เทคโนโลยีของบริษัทฮิตาชิ ระยะทาง 2.1 กิโลเมตร 3 สถานี มี 2 ตู้โดยสาร/ขบวน รับส่งผู้โดยสารได้ 184 คน/ขบวน "ความน่าสนใจของรถไฟฟ้าโมโนเรลเป็นระบบขนส่งเสริมเพื่อป้อนผู้โดยสารเข้ากับระบบหลักคือรถไฟฟ้าใต้ดินและบีทีเอส ที่น่าสนใจคือก่อสร้างได้เร็ว ลงทุนไม่มาก และไม่ต้องเวนคืนที่ดิน เพราะสร้างกลางถนนได้เลย กทม.จะให้บริษัทกรุงเทพธนาคม ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงนำข้อมูลทั้งหมดไปวิเคราะห์และวางแผนว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ผมมองว่างบประมาณไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องที่ใหญ่สุดคือการเลือกเส้นทาง" ผู้ว่าฯ กทม.กล่าว ด้าน ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า นโยบายหลักของ กทม.ต้องการจะก่อสร้างรถไฟฟ้าโมโนเรลเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสายที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นได้เร็วที่สุดมี 2 สาย ได้แก่ 1.ถนนพระรามที่ 1-พระรามที่ 4 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผ่านมาบุญครองไปสิ้นสุดที่ถนนพระรามที่ 4 ระยะทาง 6-7 กิโลเมตร และ 2.พญาไท-สำนักงาน กทม. 2 ถนนวิภาวดีรังสิต เชื่อมรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ที่สถานีพญาไท เข้าถนนเพชรบุรี และสิ้นสุดที่ยมราช ระยะทาง 7-10 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณก่อสร้าง 1 หมื่นล้านบาท/เส้นทาง ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ตั้งเป้าหมายเริ่มการก่อสร้างภายในปี 2554 "เรื่องแหล่งเงินไม่น่ามีปัญหา เบื้องต้นน่าจะมาจาก 3 ทาง คือ จากงบฯไทยเข้มแข็ง 3 ของรัฐบาล, งบฯ กทม.เองบางส่วน และออกพันธบัตร" โดยขณะนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มอบที่ดินบริเวณแยกเจริญผล ถนนบรรทัดทองประมาณ 5 ไร่ ให้ กทม.นำไปสร้างสถานีดับเพลิง แต่หากมีการก่อสร้างโครงการดังกล่าวจะแบ่งพื้นที่ประมาณ 2-3 ไร่สร้างเป็นศูนย์ซ่อมบำรุง (ดีโป้) เพราะจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินโดยรอบของจุฬาฯในอนาคตด้วย
วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ประเทศไทย คือ สรวงสวรรค์ ของคนไทย ทุกคน
ประเทศไทยมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งชาติสืบมาแต่โบราณ เป็นระยะเวลายาว นานกว่า ๗๐๐ ปี นับแต่ “กรุงสุโขทัย” ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานี เมื่อราว พ.ศ.๑๘๐๐ เป็นต้นมา ในสมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์ทรงปกครองบ้านเมืองในลักษณะของ “บิดาปกครองบุตร” ซึ่งเป็นระบบการปกครองที่เหมาะสมต่อ สถานการณ์ในขณะนั้น เพราะอาณาเขตยังไม่กว้างขวางนัก จำนวนประชากรก็ยังน้อย พระมหากษัตริย์จึงสามารถดู และและสร้างความสัมพันธ์กับราษฎรได้อย่างใกล้ชิด เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาร้องทุกข์ และเข้าเฝ้าขอความเป็นธรรมได้ตลอดเวลา
เมื่อ ถึง “สมัยอยุธยา” ราชอาณาจักรไทยมีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โตขึ้นมาก การปกครองจึงย่อมมีความซับ ซ้อนแตกต่างไปจากสมัยสุโขทัย แม้จะมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในการปกครองอยู่เช่นเดิมแต่ฐานะของพระ มหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยได้รับการยกย่องเป็นพ่อเมืองในสมัยสุโขทัย ก็ได้รับการยกย่องขึ้นเป็น “สมมุติเทพ” ตามคติเทวราชของขอมกันเป็นคติที่ขอมได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาฮินดูที่เชื่อใน เรื่องเทพอวตาร โดย เฉพาะวิษณุ (พระนารายณ์) ซึ่งอวตารหรือแบ่งภาคลงมาปราบยุคเข็ญให้แก่ชาวโลก ในสมัยอยุธยาพระมหากษัตริย์ จึงได้รับการเคารพนับถือ และทรงพระราชอำนาจประดุจเทพเจ้าทรงเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน และเจ้าชีวิตของประชาชนมี อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองราชอาณาจักร
การปกครองในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเรียกว่าการปกครอง “ระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์” ได้เป็นระบอบการปกครองที่สืบเนื่องมายาวนานตลอดสมัยอยุธยา จนกระทั่งถึงปีที่ ๑๕๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นับเป็นเวลาถึง ๕๗๒ ปี ใน ช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยได้ผ่านทั้งภาวะของการสงครามและภาวะของความสันติสุข มีการติดต่อค้าขายกับ ประเทศอื่นทั้งไกลและใกล้ การติดต่อสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศตะวันตกชักนำให้มีชาวตะวันตกเข้ามาตั้ง ถิ่นฐานตลอดจนรับราชการในแผ่นดิน ทำให้วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามาแพร่หลายในสมัยอยุธยาตอนปลาย แต่ได้หยุดชะงักไปในช่วงสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากความไม่สงบของบ้านเมือง จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห้ว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัฒนธรรมตะวันตกจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง และตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา คนไทยได้มีโอกาสออกไปศึกษาเล่าเรียนในประ เทศตะวันตกกันมาก จึงได้นำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการปฏิบัติราชการ ตลอดจนนำสิ่งที่ได้พบเห็นหรือได้ประพฤติ ปฏิบัติจนเห็นว่าดีงามเป็นประโยชน์แก่ชาติกลับมาเผยแพร่ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในประเทศอย่างมาก มาย ทั้งทางด้านวัตถุธรรมและนามธรรม จนในที่สุดระบอบการปกครองก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ตามกระแส ของยุคสมัย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อยู่ภายใต้ รัฐธรรมนูญปกครองประเทศ
สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นสถาบันที่มีความสำคัญสูงสุดของประเทศ และเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของประชาชนชาวไทยตลอดมา ไม่ว่าในยุคสมัยใด เราต่างระลึกอยู่เสมอว่า ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นมั่นคง ดำรงเอกราชมาได้จนทุกวันนี้ ก็ด้วยพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณของพระบุรพมหากษัตริย์ ที่ทรงนำ ประเทศหลีกพ้นอันตรายมาด้วยวิเทโศบายอันชาญฉลาด ทรงปกครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม นำความร่ม เย็นเป็นสุขมาสู่ประชาราษฎร ทรงทะนุบำรุงประเทศให้รุ่งเรืองทั้งทางด้านเศรษฐกิจและศิลปวัฒนธรรม ซึ่งยังคงสืบทอดเป็นมรดกอันล้ำค่า นำมาซึ่งความภาคภูมิใจในความเป็นชาติเอกราชที่มีอารยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีงามมาจนทุกวันนี้
วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551
คนรากหญ้า

“ความเจริญ” ที่เข้ามาสู่ยุคสังคมไทยใน ทุกวันนี้ มันเติบโตรวดเร็วมาก จนคนไทยในกลุ่ม ”รากหญ้า” ยังตั้งตัวไม่ทันกับความเจริญในปัจจุบัน จึงเป็นเหตุให้พวกที่มีอำนาจ และ คนรวยที่ต้องการหาผลประโยชน์นำมาไช้เป็นเครื่องมือ เพื่อได้มาในสิ่งที่ต้องการ (นักการเมือง,นักธุรกิจ) “อะไรหรือครับ! คือความเจริญ” ทุกวันนี้ในกรุงเทพมีรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน (ต่างจังหวัดไม่มี) เรามี INTERNET เรามีห้าง LOTUS (ของต่างชาติ เปรียบเสมือน เห็บ หมัดที่เข้ามาดูดเงินคนไทย ซึ่ง ต่างจังหวัดมีแทบทุกจังหวัด) ซึ่งคนจากกลุ่ม”รากหญ้า”ไม่สามารถเข้าถึงครับ!!!! เพราะอะไร? “พวกเค้าไม่มีเงินครับ” แค่เงินจะกินไปวันๆแทบจะไม่พอกับรายจ่ายในปัจจุบัน แล้วพวกเค้าจะเข้าถึง”ความเจริญ”ได้อย่างไร ?









